วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

จากเกียร์กระปุกมาเกียร์อัตโนมัติ

เนื่องจากมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนรถที่ขับจากเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์กระปุกมาเป็นเกียร์อัตโนมัติ เลยต้องหัดขับเกียร์อัตโนมัติ จนตอนนี้คุ้นชินเรียบร้อยแล้ว แต่ในระยะแรกนั้นพบว่ามีความเคยชินเก่าจากเกียร์กระปุกที่ทำให้ต้องใช้สติอย่างสูงในการขับ พอจะสรุปได้ 3 เรื่องหลักคือ:

  1. ออกรถด้วยเกียร์ถอยหลัง

    ตอนที่ขับเกียร์กระปุกนั้น เวลาออกตัวจะเหยียบคลัตช์แล้วผลักคันเกียร์มาทางซ้ายแล้วหักขึ้นเป็นเกียร์ 1 แต่กับเกียร์อัตโนมัตินั้น เวลาจอดติดไฟแดงจะใช้เกียร์ N พอจะออกตัวไฟเขียว หากใช้ความเคยชินของเกียร์กระปุกผลักเกียร์ จะได้เกียร์ R ซึ่งเป็นเกียร์ถอยหลัง

    การออกตัวด้วยเกียร์ R นี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ก็ทำให้เกิดการชะงักเพื่อปรับความคิด จนบางทีถูกรถคันหลังบีบแตรไล่ได้ และมีครั้งหนึ่งที่เข้าเกียร์ R ไปแล้วนึกได้ จึงเปลี่ยนเกียร์กลับมา D ได้ทันก่อนออกตัว

    หลายครั้งก็เกิดคำถามในใจ ว่าทำไมจะถอยหลังถึงต้องผลักเกียร์ไปข้างหน้า ในขณะที่เวลาจะไปข้างหน้ากลับต้องดึงเกียร์มาข้างหลัง? ทำไมไม่ตรงไปตรงมาเหมือนเกียร์กระปุก?

  2. มีปัญหาในการหยุดรถ

    ในการขับเกียร์กระปุก เราจะไม่เหยียบแป้นเบรกจนสุดโดยไม่เหยียบคลัตช์ เพราะนั่นจะทำให้เครื่องดับ อย่างมากก็แตะเบรกเพื่อชะลอเท่านั้น จนเมื่อรถจะหยุดเราจะใช้เท้าซ้ายเหยียบคลัตช์ร่วมด้วย ซึ่งพอมาขับเท้าเดียวกับเกียร์อัตโนมัติ การแตะเบรกเพื่อชะลอยังถือว่าปกติอยู่ แต่พอจะหยุดจะไม่กล้ากดแป้นเบรกเพิ่ม เพราะสัญชาตญาณจะบอกว่านั่นจะทำให้เครื่องดับ

    ปัญหานี้ก็ทำให้ใช้เวลาหยุดรถนานขึ้น ต้องใช้สติสั่งสมองว่ากดลงไปเลย ไม่ต้องรอเหยียบคลัตช์ โชคดีที่ผ่านหลายสถานการณ์มาได้โดยรถไม่ชนคันหน้า!

  3. จอดรถเกียร์ N

    เรื่องนี้เกิดไม่บ่อย แต่ก็มีหลายครั้งที่เผลอ เพราะรถเกียร์กระปุกที่ปลดเกียร์ว่างแล้วสามารถดับเครื่องได้ทันที แต่กับรถเกียร์อัตโนมัติ บางสถานการณ์เรายังไม่มีความชัดเจนว่าจะหยุดหรือจะจอด (เช่น ตอนส่งคนลงรถ เราจะตามเข้าบ้านไปด้วยหรือไม่) ก็จะเปลี่ยนมาที่เกียร์ N ไว้ พอตัดสินใจได้ว่าจะลงรถ ความเคยชินจะบอกให้เรากดปุ่มดับเครื่องไปเลยโดยไม่ได้เปลี่ยนไปที่เกียร์ P ซึ่งเครื่องยนต์ก็ดับ เราก็ลงรถ แต่ปัญหาคือระบบไฟฟ้าของรถยังไม่ดับ ใครเข้ารถได้ก็สามารถขับออกไปได้เลยโดยไม่ต้องใช้กุญแจ!

เหล่านี้คงเป็นปัญหาในระยะเปลี่ยนผ่านของคนที่เคยขับแต่เกียร์กระปุกแล้วเปลี่ยนมาขับเกียร์อัตโนมัติ ผมใช้เวลาอยู่พอสมควรเลยแหละ กว่าทุกอย่างจะเข้าที่

ป้ายกำกับ:

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เกร็ดเมืองขอนแก่น: ถนนชีท่าขอน

บันทึกคำบอกเล่าเกร็ดประวัติเมืองขอนแก่นจากคุณแม่ เกี่ยวกับที่มาของชื่อถนน ชีท่าขอน

ชื่อถนน ชีท่าขอน ฟังดูเผิน ๆ เหมือนจะมีนัยประวัติเกี่ยวกับแม่ชีสักคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับท่าน้ำสักแห่ง หรือไม่ก็รอคอยบางสิ่งบางอย่าง แต่จากคำบอกเล่าของคุณแม่แล้ว ที่มามาคนละทางกันเลย

ถนนที่ทอดจากถนนหน้าเมือง ผ่านตลาดบางลำภู-โบ๊เบ๊ สถานีตำรวจ โรงเรียนกัลยาณวัตร มูลนิธิสามัคคีอุทิศ (โป๊ยเซียน) ไปชนถนนอนามัยที่หน้าสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 4 เส้นนี้ แต่ก่อนสองข้างทางเป็นป่าละเมาะ เหมาะแก่การขับถ่ายของผู้คนในสมัยที่ยังไม่มีการสร้างส้วมเป็นที่แพร่หลาย เมื่อเดินผ่านก็จะเห็นของเสียที่คนขับถ่ายไว้เต็มสองข้างทาง โดยเฉพาะตามขอนไม้ จนได้ชื่อว่าเป็นถนน ขี้ทาขอน

คำว่า ขี้ทาขอน นี้ เมื่อออกเป็นสำเนียงลาวแบบขอนแก่นก็จะเป็น ขี่-ท่า-ขอน หรือ ฉี่-ท่า-ขอน (เสียง ข-ค อีสานมักจะมีลมพ่นออกมาด้วย ทำให้เสียงคล้าย ช-ฉ) ต่อมาชื่อถนนนี้จึงถอดจากสำเนียงพื้นบ้านมาตรง ๆ กลายเป็นถนน ชีท่าขอน ในปัจจุบัน

ป้ายกำกับ: ,

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

เมาไม่ขับ

วันสิ้นปี 2533 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่พลิกผันชีวิตของครอบครัวผมอย่างไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แม้กาลเวลาจะช่วยเราให้ลืมและให้อภัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบที่อยู่กับเรามา 22 ปีกว่าแล้วนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่อาจฝืนความจริงได้

ความจริงผมไม่อยากเขียนหรือคิดถึงมัน แต่ในที่สุดก็เขียนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน หลังจากที่ตรึกตรองขณะฟังข่าวอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลมาหลายปี

วันนั้นพวกผมพี่น้องกลับมาเยี่ยมบ้านกันพร้อมหน้า แต่แล้วก็ได้รับข่าวร้าย พ่อถูกรถชน พ่อซึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากที่ทำงานจะกลับบ้าน ถูกรถปิคอัพชนอย่างแรง ร่างของพ่อกระเด็นไปไกล หัวน็อคพื้น โดยคนขับปิคอัพอยู่ในสภาพมึนเมา

เดชะบุญ ด้วยความช่วยเหลือจากหลาย ๆ ฝ่าย พ่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที ได้รับการผ่าตัดสมองและดามเหล็กที่กระดูกขาที่หัก พ่อสลบไปนานกี่เดือนผมก็จำไม่ได้ แต่ผมซึ่งกำลังเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ต้องเทียวไปเทียวมาเพื่อมาช่วยเฝ้าพ่อเป็นระยะ รวมทั้งช่วยกันให้กำลังใจซึ่งกันและกันในครอบครัว มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากสำหรับพวกเรา ไม่ว่าใครจะเรียนวิทยาศาสตร์มาแค่ไหน แต่ทุกคนต่างอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยรักษาพ่อ

ด้วยฝีมือหมอ ในที่สุดพ่อก็ฟื้นอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากฟื้นแล้ว ยังต้องนอนเข้าเฝือกบนเตียงอีกเป็นเดือน มีแผลกดทับให้รักษา พอถอดเฝือกแล้วยังต้องฝึกพูด ทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หัดเดินด้วยขาที่ยาวไม่เท่ากันเพราะกระดูกหัก หัดทำกิจกรรมพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ใส่เสื้อ หยิบจับของ กินข้าว ด้วยสภาพร่างกายซีกขวาอ่อนแรงเพราะสมองได้รับความเสียหาย

เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือความบกพร่องทางสมองจากการสูญเสียเนื้อสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความประพฤติและการตัดสินใจ ทำให้ถึงแม้จะฟื้นฟูสภาพร่างกายขึ้นมาได้มาก แต่ความประพฤติจะเหมือนเด็ก ไม่สามารถใช้เหตุผลได้เต็มที่ สมาธิสั้น สรุปคือพ่อไม่สามารถทำงานอะไรได้เหมือนเดิมอีกแล้ว และบ้านผมก็เสมือนมีเด็กอนุบาลตัวใหญ่ ๆ ให้ดูแลเพิ่มขึ้นหนึ่งคน พร้อม ๆ กับการสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป

ก็เหมือนกับครอบครัวอื่นที่มีผู้ป่วยหนัก เป็นเวลาหลายปีที่พวกเราทดลองและพยายามเสาะหาทุกวิถีทางที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยของพ่อ จนกระทั่งอาการพ่อเริ่มจะอยู่ตัวแล้ว เราก็เริ่มยอมรับสภาพ ได้แต่ประคับประคองไปตามอาการ

ส่วนผลกระทบที่ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวเราไปตลอดกาลนั้น ก็เช่น:

  • แม่ต้องปิดกิจการร้านค้าตั้งแต่วันที่พ่อถูกรถชน เพื่อมาเฝ้าพยาบาลพ่อ โดยไม่สามารถกลับไปเปิดกิจการใหม่ได้อีกเลย แหล่งรายได้ใหญ่ของครอบครัวเราจึงถูกตัดไปอีกทาง (นอกเหนือจากการงานของพ่อ) และรวมไปถึงการเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราที่เคยวนเวียนบริการลูกค้าอยู่หน้าร้าน ก็เปลี่ยนมาวนเวียนใช้บริการโรงพยาบาลราวกับเป็นบ้านแห่งที่สองแทน
  • พ่อเดินไปไหนมาไหนเองไม่ได้ แม้แต่ใช้วอล์กเกอร์หรือรถเข็น กิจกรรมทุกอย่างที่ต้องลุกจากที่นั่ง เช่น การขับถ่าย หรือไปอาบน้ำ เข้าห้องนอน จึงต้องอาศัยคนพยุงทั้งสิ้น
  • เราแทบไม่เคยออกไปกินข้าวนอกบ้านเลย นอกจากโอกาสพิเศษจริง ๆ เพราะพ่อเดินเหินไม่สะดวก งานครัว งานล้างจานที่บ้าน จึงไม่มีวันหยุดไม่ว่ากรณีใด ๆ การเปลี่ยนบรรยากาศหรือรสชาติอาหาร หมายถึงการเปลี่ยนร้านที่ซื้ออาหารเท่านั้น ทั้งนี้ รวมถึงการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หรือแม้แต่ออกไปทำงานนอกบ้าน ก็ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขว่าต้องมีคนอยู่กับพ่อที่บ้านอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา
  • อาการทางสมองของพ่อ มักสร้างความเสียหายเนือง ๆ เช่น ขับถ่ายที่ที่นั่งโดยไม่บอกกล่าว อาจจะเพราะไม่อยากเดินไปห้องน้ำ หรือไม่อยากรบกวนคนอื่น หรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้เราต้องคอยเช็ดถูอยู่บ่อย ๆ หรือบางทีต้องพาไปอาบน้ำและซักเสื้อผ้าด้วย โดยปกติเราจึงต้องคอยจับตาดู คอยกะจังหวะที่พ่อน่าจะปวดฉี่อยู่ทั้งวัน เรื่องผ้าอ้อมไม่ต้องเป็นห่วง ใช้อย่างน้อยวันละหนึ่งชิ้น ซึ่งน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่สิ้นเปลืองที่สุดเรื่องหนึ่ง
  • การควบคุมการเคลื่อนไหวของมือพ่อก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้พ่อทำจานตกแตกบ่อย ๆ ด้วยการเทกระจาดทั้งโต๊ะ เพียงเพราะต้องการเลื่อนโต๊ะออกจากตัว ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะจึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวังไม่ให้คลาดสายตาอีกเหมือนกัน รวมทั้งตัวโต๊ะเองก็จะถูกโยกจนพังและต้องเปลี่ยนใหม่อยู่เป็นระยะ
  • การกินอาหารหรือดื่มน้ำ ต้องคอยคะยั้นคะยอให้พ่อกิน พ่อจะตักข้าวเองเฉพาะช่วงแรกที่ยังหิวเท่านั้น นอกนั้นต้องคอยกระตุ้น น้ำถ้าไม่ใช่น้ำหวานก็จะดื่มทีละอึกแล้วก็เลิก กว่าน้ำจะหมดแก้วก็ต้องกระตุ้นทุกอึก ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลเท่าไร
  • บางครั้งจะเกิดเหตุที่ทำให้ต้องวางมือจากทุกสิ่งมาทำให้พ่อก่อน เช่น อาหารเป็นพิษ พ่อถ่ายรดที่นอน ก็ต้องมาจัดแจงพาพ่อไปอาบน้ำ เก็บกากไปทิ้ง เก็บที่นอนไปซัก รวมถึงล้างพื้นเตียง บางครั้งแม้มีธุระหรือจะออกไปทำงานทำการนอกบ้านก็ต้องเลื่อนไปก่อน
  • อาการทางสมองทำให้พ่อสื่อสารกับเราไม่ค่อยได้ เราจึงต้องคอยสังเกตสังกาอาการผิดปกติต่าง ๆ จากภายนอก ในช่วงหลังเราได้เรียนรู้โรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคผิวหนัง ต้อหิน ต้อกระจก กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต เรามักได้พาพ่อเข้าห้องฉุกเฉินบ่อย ๆ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าพ่อมีอาการข้างในอย่างไรบ้าง จะรู้ก็ตอนที่เป็นมากแล้ว และต้องรักษาอย่างรีบด่วน ภาวะแบบนี้ทำให้เราต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเมื่อ
  • ที่โรงพยาบาล การรักษาแต่ละโรคของพ่อไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อสื่อสารกับหมอไม่ค่อยได้ และไม่ค่อยให้ความร่วมมือ การผ่าตัดบางเรื่องที่คนปกติอาจไม่ถือว่ายากลำบากเกินไป เช่น การผ่าต้อกระจก แต่สำหรับพ่อแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะพ่อไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้หมอทำ ต้องวางยาสลบสถานเดียว บางครั้งเจอหมอที่ไม่เข้าใจ คิดว่าจะสามารถตัดไหมได้เหมือนคนทั่วไป แต่พอทำจริงพ่อจะดิ้นขัดขืน จนเสี่ยงจะตาบอดได้ทีเดียว สำหรับพ่อต้องใช้ไหมละลายเท่านั้น การรักษาพ่อจึงมักต้องการหมอที่มีประสบการณ์สูง และมักต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเสมอ ๆ
  • การดูแลพ่อที่บ้านหลังจากออกจากโรงพยาบาลในแต่ละโรคก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อไม่มีการควบคุมตัวเองใด ๆ ทั้งสิ้น ผ่าตัดตาก็จะขยี้ตา จนเราต้องผลัดเวรกันเฝ้าพ่อทั้งคืน ตอนเป็นโรคผิวหนัง เวลาคันก็จะเกาจนแผลถลอกเลือดไหล เราต้องคอยจับตาไม่ให้คลาดสายตาอยู่ตลอด

ทั้งหมดนี้ ทำให้การดูแลพ่อเป็นงานที่กินเวลาและอาศัยความอดทนสูง ต้องใจเย็นและมีมุขมาล่ออยู่ตลอด ต้องรู้จังหวะจะโคนที่จะไม่ทำให้พ่อฉุนเฉียว ต้องคอยจับตาดูจนคนที่ดูแลจะเหลือเวลาไปทำอย่างอื่นน้อยมาก แม่จึงไม่สามารถเปิดร้านค้าได้อย่างเดิม และช่วงหลังลูกที่มาช่วยแบ่งเบาภาระก็แทบไม่เป็นอันทำงานอาชีพเหมือนกัน การจะตั้งสมาธิให้ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ยังไม่นับเรื่องเจ็บป่วยเพราะขาดการพักผ่อนหรือลืมดูแลตัวเองอีก

ที่เขียนอย่างละเอียดขนาดนี้ ไม่ใช่จะบ่นหรือโอดครวญนะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพเป็นกรณีศึกษา ว่าความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุมันใหญ่หลวงเพียงไหนถ้าคุณขับรถโดยประมาทในสภาพมึนเมา พ่อผมเป็น family man เหล้ายาไม่เคยแตะ แต่ต้องมารับผลของความประมาทอันเกิดจากการเมาแล้วขับของคนอื่น ผลกระทบไม่ใช่เกิดกับเหยื่อเพียงเท่านั้น ยังกระทบไปถึงครอบครัวของเหยื่ออย่างถาวรด้วย

การฟังข่าวอุบัติเหตุแต่ละครั้งจึงทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมกับผู้เสียหายเป็นธรรมดา

กรณีพ่อผมเป็นเพียงกรณีหนึ่ง แต่ถ้าพิจารณากรณีอุบัติเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมกันแล้วจะเห็นว่า:

  • เมาแล้วขับทำให้เพิ่มภาวะโลกร้อน (การพยาบาลผู้ป่วยเป็นเรื่องสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก)
  • เมาแล้วขับทำลายเศรษฐกิจของประเทศ (ประเทศชาติเสียกำลังคนไปหลายคน ไม่ใช่แค่เหยื่อเท่านั้น แต่รวมถึงคนในครอบครัวของเหยื่อ ในระยะยาว ด้วย)
  • เมาแล้วขับทำให้เกิดปัญหาสังคม (ครอบครัวเหยื่อขาดเสาหลัก การดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเครียดสะสม บางบ้านอาจเกิดปัญหาครอบครัวต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ)

ผมขอพูดถึงผลกระทบที่เกิดกับคนอื่นและส่วนรวมก็พอ เพราะไม่คิดว่าคนที่ดื่มเขาจะฟังเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพของตัวเอง ไม่งั้นเขาคงงดดื่มไปแล้ว แต่ถ้าดื่มแล้วจะขับรถ ก็ขอให้นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างเถิดนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พ่อจ๋าหนูอยากแต่งงาน (阿爸我欲嫁)

ตรุษจีนต่อด้วยวาเลนไทน์ หนุ่มสาวบางคนอาจนึกรวบขออั่งเปาจากพ่อแม่แบบอาหมวยคนนี้ ดูว่าจะได้คำตอบยังไง

พ่อจ๋าหนูอยากแต่งงาน (阿爸我欲嫁)

走仔/ลูกสาว:

爸爸妈妈哦问你知唔知
爸爸媽媽哦問你知唔知
ปาปามามาเอ๋ยหมึ่งลื่อไจอึ่มไจ
พ่อจ๋าแม่จ๋ารู้บ้างหรือเปล่า

妈妈爸爸哦现今的时代
媽媽爸爸哦現今的時代
มามาปาปาเอ๋ยเหี่ยงกิมตีสี่ต่อ
แม่จ๋าพ่อจ๋ายุคสมัยนี้น่ะ

青春少年家自由谈恋爱
青春少年家自由談戀愛
แช*ชุงเซี่ยวหนี่แกจื่ออิ่วท้ำล่วงไอ่*
พวกเด็กวัยรุ่นเขาบอกรักกันอย่างเสรี

人人需要爱的关怀
人人需要愛的關懷
หนั่งนั้งซูเอี่ยวไอ่*ตีกวงไฮว้
ใครใครก็ต้องการความเอาใจใส่ด้วยความรัก

爸爸妈妈会问你知唔知
爸爸媽媽會問你知唔知
ปาปามามาเอ๋ยหมึ่งลื่อไจอึ่มไจ
พ่อจ๋าแม่จ๋ารู้บ้างหรือเปล่า

妈妈爸爸会女儿个心内
媽媽爸爸會女兒個心內
มามาปาปาเอ๋ยหนึ่งยี้ไก่ซิมไหล
แม่จ๋าพ่อจ๋าในใจของลูกสาวนั้น

青春花当开花开有人采
青春花當開花開有人採
แช*ชุงฮวยตึงไคฮวยไคอู่หนั่งไช
ดอกไม้อ่อนเมื่อบานยังมีคนเก็บ

为何女儿还无人来爱
為何女兒還無人來愛
อุ่ยฮ้อหนึ่งยี้ฮัวบ่อหนั่งไหล่ไอ่*
ทำไมลูกสาวถึงยังไม่มีใครมารัก

爸爸/พ่อ:

一时口难开如何来交代
一時口難開如何來交代
เจ็กซี้เค่าหลั่งไคหยู่ฮ้อไหล่เก่าเถ่ย
เปิดปากแต่ละทีก็ยาก จะมาเทียบกันได้ยังไง

谢了面皮羞理还唔知
謝了面皮羞理還唔知
เสี่ยเลี่ยวหมิ่งพ้วยเสียวลี่ฮัวอึ่มไจ
ร่วงโรยแล้วหนังหน้าจะอับอายยังไม่รู้

你若想爱嫁 父母为你来安排
你若想愛嫁 父母為你來安排
ลื่อเหยียกเสี่ย#ไอ*แก่ แป่บ้ออุยหลื่อไหล่อังไป๊
ถ้าลูกอยากแต่งงาน พ่อแม่ก็จะจัดการให้

慢慢来 爱忍耐 婚姻大事莫乱来
慢慢來 愛忍耐 婚姻大事孬亂來
หมั่งหมั่งไล้ ไอ*ยิ่มไหน ฮุงอิงตั่วสื่อมอหล่วงไล้
ช้าช้าหน่อย รักต้องอดทน การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ไม่ควรผิดธรรมเนียม

走仔/ลูกสาว:

爸爸妈妈哦问你知唔知
爸爸媽媽哦問你知唔知
ปาปามามาเอ๋ยหมึ่งลื่อไจอึ่มไจ
พ่อจ๋าแม่จ๋ารู้บ้างหรือเปล่า

妈妈爸爸哦现今的时代
媽媽爸爸哦現今的時代
มามาปาปาเอ๋ยเหี่ยงกิมตีสี่ต่อ
แม่จ๋าพ่อจ๋ายุคสมัยนี้น่ะ

青春少年家自由谈恋爱
青春少年家自由談戀愛
แช*ชุงเซี่ยวหนี่แกจื่ออิ่วท้ำล่วงไอ่*
พวกเด็กวัยรุ่นเขาบอกรักกันอย่างเสรี

人人投入爱的世界
人人投入愛的世界
หนั่งนั้งเต่าหยิบไอ่*ตีซี่ไก่
ใครใครก็ต่างเดินเข้าสู่โลกแห่งความรัก

อ้างอิง:

  1. ชวน เซียวโชลิต (ประสิทธิ์ ชวลิตธำรง). ปทานุกรมจีน-ไทย 中泰大辭典. -- กรุงเทพฯ: นานมี, 2505. 1700 หน้า.

ป้ายกำกับ: ,

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ผลไม้ในภาษาจีนกลาง-แต้จิ๋ว

เปรียบเทียบคำเรียกผลไม้ภาษาจีนกลางกับแต้จิ๋ว

  • แอปเปิล จีนกลาง: 苹果 [píngguǒ]; แต้จิ๋ว: 蘋果 [ผิ่งก้วย] หรือ 苹果 [เผ่งก้วย]
  • กล้วยหอม จีนกลาง: 香蕉 [xiāngjiāo]; แต้จิ๋ว: 弓蕉 [เก็งเจีย#]
  • แตงโม เรียกเหมือนกันว่า 西瓜 [xīguā; แต้จิ๋ว: ซีกวย]
  • ฟักเขียว/ฟักแฟง เรียกเหมือนกันว่า 冬瓜 [dōngguā; แต้จิ๋ว: ตังกวย] (แตงฤดูหนาว ไม่ใช่ 东瓜/東瓜 แตงตะวันออกอย่างที่หลายคนเข้าใจ)
  • ส้ม จีนกลาง: 桔子 [júzi]; แต้จิ๋ว: 柑 [กา*] ถ้าเป็น 桔 [กิก] จะหมายถึงส้มลูกเล็ก ๆ ซึ่งคำว่า 桔 นี้ไปพ้องเสียงกับคำว่า 吉 [กิก] ที่แปลว่า สิริมงคล คนจีนจึงมอบส้มกันในเทศกาลปีใหม่เพื่อเป็นสิริมงคล
  • มะนาว (lime): จีนกลาง: 青柠/青檸 [qīngníng]; แต้จิ๋ว: 酸柑[ซึงกา*]
  • มะนาว (lemon): เรียกเหมือนกันว่า 柠檬/檸檬 [níngméng; แต้จิ๋ว: เหล่งม้ง]
  • สตรอเบอร์รี ไม่เคยเรียกในภาษาแต้จิ๋ว แต่พจนานุกรมบอกตัวเขียนตรงกับจีนกลางว่า 草莓 [cǎoméi; แต้จิ๋ว: เฉาบ๊วย] -- เหมือนจะแปลตามตัวเลย: 草 = straw; 莓 = berry/moss
  • ทุเรียน จีนกลาง: 榴莲/榴蓮 [liúlián]; แต้จิ๋ว: 塗涼 [โถ่วเลี้ยง]
  • มะม่วง จีนกลาง: 芒果 [mángguǒ]; แต้จิ๋ว: 檨 [ส่วย*]
  • ลำไย จีนกลาง: 龙眼/龍眼 [lóngyǎn] (ตามังกร); แต้จิ๋ว: 肉矮 [เหน็กเอ้ย]
  • มะละกอ จีนกลาง: 木瓜 [mùguā] (แตงไม้); แต้จิ๋ว: 奶瓜 [นีกวย] (แตงนม)
  • สับปะรด จีนกลาง: 菠萝/菠蘿 [bōluó]; แต้จิ๋ว: 紅梨 [อั่งไล้] (สาลี่แดง เป็นภาษาพูดของคำว่า 鳳梨) -- คำใกล้เคียงคือ 紅毛梨 [อั่งหม่อไล้] (สาลี่ผมแดง/สาลี่ฝรั่งมังค่า) แปลว่า ละมุด
  • สาลี่ เรียกเหมือนกันว่า 梨 [lí; แต้จิ๋ว: ไล้ แต่ส่วนมากเรียกยาวว่า 山東梨 (ซัว*ตังไล้) - สาลี่จากซานตง]
  • ฟักทอง จีนกลาง: 南瓜 [nánguā] (แตงใต้); แต้จิ๋ว: 番瓜 [ฮวงกวย] (แตงเทศ)
  • แตงกวา จีนกลาง: 黃瓜 [huángguā] (แตงเหลือง); แต้จิ๋ว: 吊瓜 [เตี้ยวกวย] (แตงแขวน)
  • ฝรั่ง จีนกลาง: 番石榴 [fānshíliu] (ทับทิมเทศ); แต้จิ๋ว: 木仔 [บักเกี้ย] (ลูกไม้)
  • องุ่น เรียกเหมือนกันว่า 葡萄 [pútáo; แต้จิ๋ว: ผู่ท้อ]
  • ลูกพลับ เรียกคล้ายกัน จีนกลาง: 柿子 [shìzi]; แต้จิ๋ว: 柿 [ไส]
  • ส้มโอ เรียกคล้ายกัน จีนกลาง: 柚子 [yòuzi]; แต้จิ๋ว: 柚 [อิ่ว]
  • ลูกท้อ เรียกคล้ายกัน จีนกลาง: 桃子 [táozi]; แต้จิ๋ว: 桃果 [ถ่อก้วย]
  • ลิ้นจี่ จีนกลาง: 荔枝 [lìzhī]; แต้จิ๋ว: 蓮果 [เหน่ยก้วย] (ผลบัว)
  • น้อยหน่า จีนกลาง: 番荔枝 [fānlìzhī]; แต้จิ๋ว: 林檎 [หนิ่มคิ้ม]
  • ทับทิม เรียกเหมือนกันว่า 石榴 [shíliu; แต้จิ๋ว: เจียะ#ลิ้ว]
  • ขนุน เรียกเหมือนกันว่า 菠萝蜜/菠蘿蜜 [bōluómì; แต้จิ๋ว: ปอหล่อบิ๊ก] (สับปะรดน้ำผึ้ง)
  • มะพร้าว เรียกเหมือนกันว่า 椰子 [yēzi; แต้จิ๋ว: เอี่ยจี้]
  • มะเฟือง เรียกเหมือนกันว่า 杨桃/楊桃 [yángtáo; แต้จิ๋ว: เอี่ยท้อ]
  • ลางสาด เรียกเหมือนกันว่า 兰撒/蘭撒 [lánsā; แต้จิ๋ว: หลั่งสัก] (ทับศัพท์คำมาเลย์)

หมายเหตุ:

  • เสียงอ่านแต้จิ๋วที่ใส่ดอกจัน (*) หมายถึงให้ออกเสียงออกจมูก (เรียกว่าเสียงนาสิก) ด้วย
  • เสียงอ่านแต้จิ๋วที่ใส่ # กำกับสระเอียะ/เอีย หมายถึงเสียงสระ "อี-โอ" หรือ "อี-ออ" ควบกัน ไม่ใช่ "อี-อา"

Update (2015-06-19): เพิ่มหมายเหตุสัปปะรดว่า "อั่งไล้" เป็นภาษาพูดของคำว่า 鳳梨

ป้ายกำกับ: , ,

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

บนฟ้ามีห่านหนึ่งตัว (天顶一只鹅)

ผลจากการมีเวลาว่างช่วงสงกรานต์โดยไม่มีเน็ตใช้ ทำให้สามารถแกะเพลงแต้จิ๋วได้อีกหนึ่งเพลง คราวนี้กลับมาที่เพลงพื้นบ้านเบา ๆ ว่าด้วยชีวิตรันทดของคนที่ถูกเรียกว่า "ตั่วแปะ" (ลุงใหญ่) ทั้งที่ตัวเองยังโสดอยู่ จนต้องหลบลี้หนีมาสยามทำมาหากิน คนแต้จิ๋วหลายคนรู้จักเพลงนี้ คือ 天頂一隻鵝 [ทีเต้งเจ็กเจี้ยะก๎ง๊อ] บนฟ้ามีห่านหนึ่งตัว เป็นเพลงที่ดัดแปลงมาจากลำนำพื้นบ้าน โดยเติมสีใส่ไข่เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งท่อน มีการหยิบพัดมาบังหน้าแล้วต่อว่าพ่อแม่ด้วย

ภาษาที่ใช้เป็นภาษาพูดธรรมดา ฟังไม่ยากเกินไป แต่ปัญหาของภาษาพูด ไม่ว่าจะเป็นแต้จิ๋วหรือจีนถิ่นอื่น ๆ ก็คือหลายคำหาตัวเขียนลำบาก ในคาราโอเกะจึงมักใช้วิธีเลี่ยงไปใช้ตัวเขียนอื่นแล้วอ่านทับคำเอาดื้อ ๆ คลิปนี้ก็เหมือนกัน จึงได้พยายามค้นคว้าหาตัวเขียนเท่าที่หาได้จากแหล่งอ้างอิงออฟไลน์ที่มี

บนฟ้ามีห่านหนึ่งตัว (天頂一隻鵝)

天顶一只鹅
天頂一隻鵝
ทีเต้งเจ็กเจี้ยะก๎ง๊อ
บนฟ้ามีห่านหนึ่งตัว

阿弟有嬷阿兄无
阿弟有嬤阿兄無
อาตี๋อู่โบ้วอาเฮีย*บ๊อ
น้องชายมีเมียพี่ชายไม่มี
(คำว่า "โบ้ว" ที่แปลว่า "เมีย" นี้ พบตัวเขียนหลายแบบ ในพจนานุกรมแต้จิ๋วที่ใช้อ้างอิงไม่พบคำนี้ แต่พอตรวจสอบกับ gaginang.org พบว่าใช้ตัว 嬤 เหมือนในคาราโอเกะ ซึ่งพจนานุกรมจีนกลางกลับแปลว่า "แม่" แต่ "เหล่าตั๊ง" ใช้ตัว 𡚸 โดย 㜁𡚸 [จาโบ้ว] = ผู้หญิง ซึ่งอันที่จริงส่วนหลัง 么 ก็เป็นตัวย่อของ 麼 นั่นเอง)

阿弟生仔叫大伯
阿弟生仔叫大伯
อาตี๋แซ*เกี้ยเกี้ย#ตั่วแปะ
น้องชายมีลูกเรียกลุงใหญ่

大伯羞理无奈何
大伯羞理無奈何
ตั่วแปะเสียวลี่บ่อไหน่ฮ้อ
ลุงใหญ่อับอายจนไม่รู้จะทำยังไง
(คำว่า [เสียวลี่] ในคาราโอเกะใช้ว่า 小理 ซึ่งจะออกเสียงเป็น [เสียวลี่] ได้พอดี แต่ความหมายจะเป็นทำนอง "เหตุผลน้อย " หนังสือสำนวนพื้นบ้านแต้จิ๋วใช้ 羞理 ซึ่งตัว 羞 ซึ่งแปลว่า "อับอาย" ปกติอ่านว่า [ซิว] แต่ใน 羞理 อ่านเป็น [เซี่ยว] มีเพลงบางเวอร์ชันใช้คำว่า 害羞 [ไห่ซิว] แปลว่า "อับอาย" ตรงตัว แต่ไม่ใช่ภาษาพูดปกติ บางเวอร์ชันใช้แค่ว่า 听着 [เทีย*เตี๊ยะ#] คือ "ได้ยินเข้า" เท่านั้นเอง)

--

𢭪枝扇仔将面遮
𢭪枝扇仔將面遮
เขียะ#กีซี้*เกี้ยเจี้ยงหมิ่งเจีย
หยิบพัดอันน้อยมาบังหน้า
(ในคาราโอเกะใช้คำว่า 拿 [น่า] = ถือ แทน 𢭪 [เคียะ#] = หยิบ แล้วอ่านทับคำ เข้าใจว่าตัว 𢭪 เป็นอักษรที่ใช้เฉพาะในภาษาถิ่น ไม่มีในจีนกลาง)

一来怨娘二怨爹
一來怨娘二怨爹
อิกไหล่อ้วงเนี้ย#หยี่อ้วงเตีย
มานั่งเคืองแม่หนึ่ง พ่ออีกหนึ่ง

怨我爹娘无主意
怨我爹娘無主意
อ้วงอัวเตียเนี้ย#บ่อจูอี่
เคืองที่พ่อแม่ฉันไม่รู้จักคิด

阿弟怎呢先娶过阿兄
阿弟怎呢先娶過阿兄
อาตี๋จ้อหนี่โซยฉั่วก้วยอาเฮีย*
น้องชายทำไมชิงแต่งงานก่อนพี่ชาย
(怎 ปกติอ่านว่า [จ้า] แต่ในคำว่า 怎呢 จะอ่านว่า [จ่อ] ผันเป็น [จ้อนี้] แปลว่า "ทำไม" เป็นคำภาษาพื้นบ้านแต้จิ๋วที่ใช้บ่อย)

--

拜别爹娘往暹罗
拜别爹娘往暹羅
ไป้เปี๊ยกเตียเนี้ย#อวงเสี่ยมล้อ
กราบลาพ่อแม่มุ่งสู่สยาม
(บางเวอร์ชันว่า 收拾包裹過暹羅 [ซิวสิบเปาล่อก้วยเสี่ยมล้อ] จัดห่อสัมภาระไปสยาม)

走来去暹罗块卖霜糕
走來去暹羅塊賣霜糕
เจาไลคื่อเสี่ยมล้อกอโบ่ยซึงกอ
ลี้ไปสยามขายไอติม
(บางเวอร์ชันว่ามาสยาม 牽豬哥 [คังตือกอ] คือมาเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์)

赚有钱银加减寄
賺有錢銀加减寄
ทั่งอู่จี่*งึ้งแกเกียมเกี่ย
ได้เงินสะสมไว้อีกสักหน่อย
(ในคาราโอเกะ ใช้ 多少 [ตอเจี้ย#] แทน 加减 [เกียเกียม/แกเกียม] แล้วอ่านทับคำ แปลเหมือนกันว่า "อีกสักหน่อย")

正好返来去娶个雅老婆
正好返來去娶個雅老婆
เจี๊ย*ฮ่อตึงไลคือฉั่วไก่เงียเหล่าพ้อ
แล้วค่อยกลับไปแต่งเมียสวย ๆ สักคน
(老婆 ปกติอ่านว่า [เหล่าพั้ว] แปลว่า "เมีย" แต่ในที่นี้อ่านเป็น "เหล่าพ้อ" เพื่อให้เสียงสัมผัสในกลอน)

อ้างอิง:

     
  1. ชวน เซียวโชลิต (ประสิทธิ์ ชวลิตธำรง). ปทานุกรมจีน-ไทย 中泰大辭典. -- กรุงเทพฯ: นานมี, 2505. 1700 หน้า.
  2.  
  3. เหล่าตั๊ง. ลูกหลานคนแต้จิ๋ว. -- กรุงเทพฯ: นิวเซนจูรี่ฯ, 2551 (10), 205 หน้า. ISBN 978-974-04-0863-5.
  4.  
  5. สุภาณี ปิยพสุนทรา. สำนวนภาษาพื้นบ้านแต้จิ๋ว. -- กรุงเทพฯ: ทฤษฎี, 2550. 201 หน้า. ISBN 978-974-9796-56-6.

ป้ายกำกับ: ,

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ได้เวลากลับบ้าน (这个时节好回家)

ไปเจอเพลงกลับบ้านนอกภาษาแต้จิ๋วนานแล้ว คราวนี้ได้เวลาลงมือแกะเสียที อารมณ์เพลงคล้าย Take Me Home, Country Roads แบบจีน ๆ ผสมกับอารมณ์คิดถึงบ้านของคนจากบ้านไปทำงานในเมืองหลวง

แกะครั้งนี้ ขอเริ่มใช้สัญลักษณ์บอกเสียงเพิ่มเติม ดังนี้

     
  • ก๎ง แทนเสียง ง แบบไม่นาสิก โดยเอาอย่างมาจาก "ยาขอบ" ที่ใช้เสียง ก กับ ง กล้ำกัน เช่น ในคำว่า 牛 จะถอดเสียงได้เป็น ก๎งู๊
  •  
  • ห๎ว แทนเสียง ห กับ ว กล้ำกัน (ให้แตกต่างจาก ห นำ ว ที่เป็นเสียงอักษรสูง) เช่น คำว่า 怀/懷 [ไฮว่] ซึ่งพอผันเป็นเสียงเอก ถ้าเขียนเป็น ไหว่ เสียง ห จะหายไป จึงเขียนเป็น ไห๎ว่)
  •  
  • * ระบุการออกเสียงนาสิกในภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งจะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น  我 = อั้ว (ไม่นาสิก) แปลว่า ฉัน, ข้าพเจ้า แต่ 碗 = อั้ว* (เสียงออกจมูก) แปลว่า ชาม
  •  
  • # กำกับเสียงสระเอียแบบที่เป็น "อี-โอ" ควบกัน ไม่ใช่ "อี-อา" เช่น ในคำว่า 恭 ออกเสียงเป็น กี-ยง กล้ำกัน ก็จะเขียนกำกับเสียงเป็น เกียง# เป็นต้น
  •  
  • ยฺ ใช้แทนตัวสะกดแม่เกยแบบมีเสียงกัก ซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยได้ยาก เช่น ในคำว่า 月 ที่แปลว่าพระจันทร์หรือเดือน จะถอดเสียงเป็น "ก๎ง๊วยฺ" (บางท่านเขียนเป็น "เงวะ" ก็นับว่าใกล้เคียงมาก แต่กับสระอื่นอาจมีปัญหา เช่น กับคำว่า 节/節 = โจ่ยฺ)

เอาล่ะ เข้าเรื่องเสียที เพลงที่ว่านี้ชื่อว่า 这个时节好回家 [แจไก่สี่โจ่ยฺฮอห่วยแก] หรือ ได้เวลากลับบ้าน (It's Time For Coming Home) เพลงนี้มีสองเวอร์ชัน ดูจากเนื้อหาแล้วเพลงหนึ่งน่าจะมาก่อนอีกเพลง เริ่มจากเวอร์ชันแรกก่อน เป็นแบบอารมณ์ซึ้งหน่อย

(หมายเหตุ: ภาษาที่ใช้ในเพลงค่อนข้างเป็นภาษาหนังสือ หลายคำไม่ใช่ภาษาพูดที่ผมคุ้นเคย ดังนั้น คำแปลจึงอาจคลาดเคลื่อนได้ หากผู้รู้ช่วยชี้แนะก็จะขอบคุณยิ่ง)

It's Time For Coming Home (这个时节好回家)

当列车很匆忙地驶过
當列車很匆忙地駛過
ตึงเหลียกเชียหึ่งชงมั้งตีไซ่ก่วย
เมื่อรถไฟแล่นผ่านไปอย่างรีบด่วน

通向远方的小站飘着落花
通向遠方的小站飄著落花
ทงเหี่ยงเอียงฮวง*ตีเซียวจั๋มเพียวเตียะ#เหลาะฮวย
ตรงทางสถานีย่อยรถทางไกลมีดอกไม้ปลิวหล่น

这个时节好回家
這個時節好回家
แจไก่สี่โจ่ยฺฮอห่วยแก
ฤดูกาลนี้ควรแก่การกลับบ้าน

买到了车票
買到了車票
โบยเก่าเลี่ยวเชียเผี่ย#
ซื้อได้แล้วตั๋วรถ

车票中刻印着我的寻觅
車票中刻印著我的尋覓
เชียเผี่ย#ตงเค็กอิมเตียะ#อั้วตีฉิ่มฉ่วย
บนตั๋วรถพิมพ์สิ่งที่ฉันค้นหา

(~ สร้อย)
今夜今夜徘徊轨道边
今夜今夜徘徊軌道邊
กิมแม้ กิมแม้ไผ่ฮ้วยคุยเต่าเบียง
คืนนี้ คืนนี้เดินเตร่ริมรางรถไฟ

对钟楼时间
對鐘樓時間
ตุ้ยเจ็งเล้าสี่กัง
เฝ้าดูเวลาบนหอนาฬิกา

向着昔日挥别
向著昔日揮别
เฮี่ยงเตียะ#จ๋ายิกฮุยเปี๊ยก
หันไปพบการลาจากเมื่อวันก่อน

今夜无语
今夜無語
กิมแม้บ่อก๎งื้อ
คืนนี้ไม่มีคำพูดใด ๆ

是因为无人听懂此时
是因為無人聽懂此時
สี่อิงอุ๊ยบ่อหนั่งเทีย*ต้งฉือซี้
ก็เพราะตอนนี้ไม่มีใครคอยฟังหรือเอาใจใส่

这怀念的心情
這懷念的心情
แจไห๎ว่เหนียม(ตี)ซิมเช้ง
ดวงใจถวิลหาดวงนี้

我终年漂流在外
我終年漂流在外
อั้วจงนี้เพียวลิ่วต่อก๎งั่ว
ฉันระหกระเหินทำงานมาทั้งปี (漂流=漂泊[เพียวเป๊าะ])

谁知道将来何方
誰知道將來何方
ซุ้ยไจเต๋าเจียงไล้ห่อฮวง*
ใครจะรู้ว่าวันข้างหน้าจะไปอยู่ทางไหน

我依然相信
我依然相信
อั้วอีเยี้ยงเซียงสิ่ง
ฉันยังคงเชื่อ

对明天不改信心
對明天不改信心
ตุ้ยเหม่งเทียงปุ๊กโกยซิ่งซิม
ถึงพรุ่งนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ

向着家乡归来
向著家鄉歸來
เหี่ยงเตียะ#แกเฮีย#กุยไล้
หันไปพบบ้านเกิดหวนกลับมา

乡亲在心内铭记
鄉親在心内銘記
เฮีย#ชิงต่อซิมไหลเหม่งกี่
ญาติที่บ้านเกิดจารึกจดจำไว้ในใจ

向着家乡归来
向著家鄉歸來
เหี่ยงเตียะ#แกเฮีย#กุยไล้
หันไปพบบ้านเกิดหวนกลับมา

用亲情问路
用親情問路
เอ่งชิงเช้งหมุ่งโหล่ว
ถามทางด้วยใจฉันญาติ

乡音在心内铭记
鄉音在心内銘記
เฮีย#อิมต่อซิมไหลเหม่งกี่
เสียงของบ้านเกิดจารึกจดจำไว้ในใจ

(ดนตรี)

带着那许多年的变化
帶著那許多年的變化
ตั่วเตียะ#นาฮือตอนี้ตีเปี้ยงห่วย
พกพาเอาความผันแปรหลายต่อหลายปี

跟着思归的孤雁
跟著思歸的孤雁
กึงเตียะ#สือกุยตีโกวหงัง
ต่อด้วยคะนึงถึงห่านป่าโดดเดี่ยวที่หวนคืนถิ่น

心也在飞
心也在飛
ซิมเอี่ยต่อปวย
ใจก็พลอยโบยบิน

这个时节好回家
這個時節好回家
แจไก่สี่โจ่ยฺฮอห่วยแก
ฤดูกาลนี้ควรแก่การกลับบ้าน

找到了方向
找到了方向
เตาเก่าเลี่ยวฮวง*เหี่ยง
หาพบแล้วทิศทาง

我而今已拥有安慰
我而今已擁有安慰
อั้วหยื่อกิมอี*เอี่ยง#อู่อัว*อ่วย
ตอนนี้ฉันได้รับการโอบกอดแล้วพร้อมคำปลอบโยน

(สร้อย ~)

家乡依然会为我敞开
家鄉依然會為我敞開
แกเฮีย#อีเยี้ยงห่วยอุ่ยอั๋วเชี่ยงไค
บ้านเกิดยังคงสมาคมกันเพราะฉันเปิดกว้าง

会为我敞开 敞开
會為我敞開 敞開
ห่วยอุ่ยอั๋วเชี่ยงไค เชี่ยงไค
สมาคมกันเพราะฉันเปิดกว้าง เปิดกว้าง

ที่มา:YouKu

เนื้อ:cz44.com

เวอร์ชันที่สอง เป็นแนววัยรุ่น มีการเรียบเรียงเนื้อและทำดนตรีใหม่ให้ดูกระฉับกระเฉงขึ้น เติมอารมณ์ลิงโลด มีการแอบพาดพิงถึงเวอร์ชันแรกเล็กน้อยว่าใครนะมาเดินเตร่ร้องเพลงระลึกความหลัง หรือจะฟังเป็นลูกเล่นการเล่าเรื่องถึงตัวเองก็ได้

It's Time For Coming Home (这个时节好回家)

当列车很匆忙的驶过
當列車很匆忙的駛過
ตึงเหลียกเชียหึ่งชงมั้งตีไซ่ก่วย
เมื่อรถไฟแล่นผ่านไปอย่างรีบด่วน

通向远方的小站飘着落花
通向遠方的小站飄著落花
ทงเหี่ยงเอียงฮวง*ตีเซียวจั๋มเพียวเตียะ#เหลาะฮวย
ตรงทางสถานีย่อยรถทางไกลมีดอกไม้ปลิวหล่น

这个时节好回家
這個時節好回家
แจไก่สี่โจ่ยฺฮอห่วยแก
ฤดูกาลนี้ควรแก่การกลับบ้าน

买到了车票
買到了車票
โบยเก่าเลี่ยวเชียเผี่ย#
ซื้อได้แล้วตั๋วรถ

车票中刻印着我的寻觅
車票中刻印著我的尋覓
เชียเผี่ย#ตงเค็กอิมเตียะ#อั้วตีฉิ่มฉ่วย
บนตั๋วรถพิมพ์สิ่งที่ฉันค้นหา

--

带着那许多年的变化
帶著那許多年的變化
ตั่วเตียะ#นาฮือตอนี้ตีเปี้ยงห่วย
พกพาเอาความผันแปรหลายต่อหลายปี

跟着思归的孤雁
跟著思歸的孤雁
กึงเตียะ#สือกุยตีโกวหงัง
ต่อด้วยคะนึงถึงห่านป่าโดดเดี่ยวที่หวนคืนถิ่น

心也在飞
心也在飛
ซิมเอี่ยต่อปวย
ใจก็พลอยโบยบิน

这个时节好回家
這個時節好回家
แจไก่สี่โจ่ยฺฮอห่วยแก
ฤดูกาลนี้ควรแก่การกลับบ้าน

找到了方向
找到了方向
เตาเก่าเลี่ยวฮวง*เหี่ยง
หาพบแล้วทิศทาง

我而今已拥有安慰
我而今已擁有安慰
อั้วหยื่อกิมอี*เอี่ยง#อู่อัว*อ่วย
ตอนนี้ฉันได้รับการโอบกอดแล้วพร้อมคำปลอบโยน

(เปลี่ยนจังหวะ)

(@)
嗨看看
嗨看看
ไฮ โท่ย*โท่ย*
ไฮ้ ดูดู

今夜是谁海岸边
今夜是誰海岸邊
กิมแม้สี่ซุ้ยไฮไหง่เบียง
คืนนี้ใครอยู่ที่ริมฝั่งทะเล

对钟楼时间
對鐘樓時間
ตุ้ยเจ็งเล้าสี่กัง
เฝ้าดูเวลาบนหอนาฬิกา

向着昔日挥别
向著昔日揮别
เฮี่ยงเตียะ#จ๋ายิกฮุยเปี๊ยก
หันไปพบการลาจากเมื่อวันก่อน

听听
聽聽
เทีย*เทีย*
ฟังฟัง

今夜谁徘徊远方
今夜誰徘徊遠方
กิมแม้ซุ้ยไผ่ฮ้วยเอียงฮวง*
คืนนี้ใครเดินเตร่(สถานีรถ)ทางไกล

为乡情重唱起往事
為鄉情重唱起往事
อุ่ยเฮีย#เช้งเต่งเฉียงคีอวงสื่อ
ด้วยอารมณ์คิดถึงบ้านได้ร้องเพลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความหลัง

~
我终年漂流在外
我終年漂流在外
อั้วจงนี้เพียวลิ่วต่อก๎งั่ว
ฉันระหกระเหินทำงานมาทั้งปี

谁知道将来何方
誰知道將來何方
ซุ้ยไจเต๋าเจียงไล้ห่อฮวง*
ใครจะรู้ว่าวันข้างหน้าจะไปอยู่ทางไหน

我依然相信
我依然相信
อั้วอีเยี้ยงเซียงสิ่ง
ฉันยังคงเชื่อ

不改明天信心
不改明天信心
ปุ๊กโกยเหม่งทีซิ่งซิม
ถึงพรุ่งนี้ก็ไม่เปลี่ยนใจ

(ซ้ำ ~)

~~
嗨!向着家乡归来
嗨!向著家鄉歸來
ไฮ้! เหี่ยงเตียะ#แกเฮีย#กุยไล้
ไฮ้! หันไปพบบ้านเกิดหวนกลับมา

(ซ้ำ ~~)

(ซ้ำตั้งแต่ @)

ที่มา:YouTube

ป้ายกำกับ: ,