วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

เมาไม่ขับ

วันสิ้นปี 2533 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่พลิกผันชีวิตของครอบครัวผมอย่างไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก แม้กาลเวลาจะช่วยเราให้ลืมและให้อภัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบที่อยู่กับเรามา 22 ปีกว่าแล้วนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่อาจฝืนความจริงได้

ความจริงผมไม่อยากเขียนหรือคิดถึงมัน แต่ในที่สุดก็เขียนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับทุกคน หลังจากที่ตรึกตรองขณะฟังข่าวอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลมาหลายปี

วันนั้นพวกผมพี่น้องกลับมาเยี่ยมบ้านกันพร้อมหน้า แต่แล้วก็ได้รับข่าวร้าย พ่อถูกรถชน พ่อซึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากที่ทำงานจะกลับบ้าน ถูกรถปิคอัพชนอย่างแรง ร่างของพ่อกระเด็นไปไกล หัวน็อคพื้น โดยคนขับปิคอัพอยู่ในสภาพมึนเมา

เดชะบุญ ด้วยความช่วยเหลือจากหลาย ๆ ฝ่าย พ่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที ได้รับการผ่าตัดสมองและดามเหล็กที่กระดูกขาที่หัก พ่อสลบไปนานกี่เดือนผมก็จำไม่ได้ แต่ผมซึ่งกำลังเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ต้องเทียวไปเทียวมาเพื่อมาช่วยเฝ้าพ่อเป็นระยะ รวมทั้งช่วยกันให้กำลังใจซึ่งกันและกันในครอบครัว มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากสำหรับพวกเรา ไม่ว่าใครจะเรียนวิทยาศาสตร์มาแค่ไหน แต่ทุกคนต่างอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยรักษาพ่อ

ด้วยฝีมือหมอ ในที่สุดพ่อก็ฟื้นอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากฟื้นแล้ว ยังต้องนอนเข้าเฝือกบนเตียงอีกเป็นเดือน มีแผลกดทับให้รักษา พอถอดเฝือกแล้วยังต้องฝึกพูด ทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หัดเดินด้วยขาที่ยาวไม่เท่ากันเพราะกระดูกหัก หัดทำกิจกรรมพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ใส่เสื้อ หยิบจับของ กินข้าว ด้วยสภาพร่างกายซีกขวาอ่อนแรงเพราะสมองได้รับความเสียหาย

เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือความบกพร่องทางสมองจากการสูญเสียเนื้อสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความประพฤติและการตัดสินใจ ทำให้ถึงแม้จะฟื้นฟูสภาพร่างกายขึ้นมาได้มาก แต่ความประพฤติจะเหมือนเด็ก ไม่สามารถใช้เหตุผลได้เต็มที่ สมาธิสั้น สรุปคือพ่อไม่สามารถทำงานอะไรได้เหมือนเดิมอีกแล้ว และบ้านผมก็เสมือนมีเด็กอนุบาลตัวใหญ่ ๆ ให้ดูแลเพิ่มขึ้นหนึ่งคน พร้อม ๆ กับการสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป

ก็เหมือนกับครอบครัวอื่นที่มีผู้ป่วยหนัก เป็นเวลาหลายปีที่พวกเราทดลองและพยายามเสาะหาทุกวิถีทางที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยของพ่อ จนกระทั่งอาการพ่อเริ่มจะอยู่ตัวแล้ว เราก็เริ่มยอมรับสภาพ ได้แต่ประคับประคองไปตามอาการ

ส่วนผลกระทบที่ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวเราไปตลอดกาลนั้น ก็เช่น:

  • แม่ต้องปิดกิจการร้านค้าตั้งแต่วันที่พ่อถูกรถชน เพื่อมาเฝ้าพยาบาลพ่อ โดยไม่สามารถกลับไปเปิดกิจการใหม่ได้อีกเลย แหล่งรายได้ใหญ่ของครอบครัวเราจึงถูกตัดไปอีกทาง (นอกเหนือจากการงานของพ่อ) และรวมไปถึงการเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราที่เคยวนเวียนบริการลูกค้าอยู่หน้าร้าน ก็เปลี่ยนมาวนเวียนใช้บริการโรงพยาบาลราวกับเป็นบ้านแห่งที่สองแทน
  • พ่อเดินไปไหนมาไหนเองไม่ได้ แม้แต่ใช้วอล์กเกอร์หรือรถเข็น กิจกรรมทุกอย่างที่ต้องลุกจากที่นั่ง เช่น การขับถ่าย หรือไปอาบน้ำ เข้าห้องนอน จึงต้องอาศัยคนพยุงทั้งสิ้น
  • เราแทบไม่เคยออกไปกินข้าวนอกบ้านเลย นอกจากโอกาสพิเศษจริง ๆ เพราะพ่อเดินเหินไม่สะดวก งานครัว งานล้างจานที่บ้าน จึงไม่มีวันหยุดไม่ว่ากรณีใด ๆ การเปลี่ยนบรรยากาศหรือรสชาติอาหาร หมายถึงการเปลี่ยนร้านที่ซื้ออาหารเท่านั้น ทั้งนี้ รวมถึงการท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หรือแม้แต่ออกไปทำงานนอกบ้าน ก็ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขว่าต้องมีคนอยู่กับพ่อที่บ้านอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา
  • อาการทางสมองของพ่อ มักสร้างความเสียหายเนือง ๆ เช่น ขับถ่ายที่ที่นั่งโดยไม่บอกกล่าว อาจจะเพราะไม่อยากเดินไปห้องน้ำ หรือไม่อยากรบกวนคนอื่น หรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้เราต้องคอยเช็ดถูอยู่บ่อย ๆ หรือบางทีต้องพาไปอาบน้ำและซักเสื้อผ้าด้วย โดยปกติเราจึงต้องคอยจับตาดู คอยกะจังหวะที่พ่อน่าจะปวดฉี่อยู่ทั้งวัน เรื่องผ้าอ้อมไม่ต้องเป็นห่วง ใช้อย่างน้อยวันละหนึ่งชิ้น ซึ่งน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำที่สิ้นเปลืองที่สุดเรื่องหนึ่ง
  • การควบคุมการเคลื่อนไหวของมือพ่อก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้พ่อทำจานตกแตกบ่อย ๆ ด้วยการเทกระจาดทั้งโต๊ะ เพียงเพราะต้องการเลื่อนโต๊ะออกจากตัว ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะจึงเป็นสิ่งที่เราต้องระวังไม่ให้คลาดสายตาอีกเหมือนกัน รวมทั้งตัวโต๊ะเองก็จะถูกโยกจนพังและต้องเปลี่ยนใหม่อยู่เป็นระยะ
  • การกินอาหารหรือดื่มน้ำ ต้องคอยคะยั้นคะยอให้พ่อกิน พ่อจะตักข้าวเองเฉพาะช่วงแรกที่ยังหิวเท่านั้น นอกนั้นต้องคอยกระตุ้น น้ำถ้าไม่ใช่น้ำหวานก็จะดื่มทีละอึกแล้วก็เลิก กว่าน้ำจะหมดแก้วก็ต้องกระตุ้นทุกอึก ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลเท่าไร
  • บางครั้งจะเกิดเหตุที่ทำให้ต้องวางมือจากทุกสิ่งมาทำให้พ่อก่อน เช่น อาหารเป็นพิษ พ่อถ่ายรดที่นอน ก็ต้องมาจัดแจงพาพ่อไปอาบน้ำ เก็บกากไปทิ้ง เก็บที่นอนไปซัก รวมถึงล้างพื้นเตียง บางครั้งแม้มีธุระหรือจะออกไปทำงานทำการนอกบ้านก็ต้องเลื่อนไปก่อน
  • อาการทางสมองทำให้พ่อสื่อสารกับเราไม่ค่อยได้ เราจึงต้องคอยสังเกตสังกาอาการผิดปกติต่าง ๆ จากภายนอก ในช่วงหลังเราได้เรียนรู้โรคต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคผิวหนัง ต้อหิน ต้อกระจก กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต เรามักได้พาพ่อเข้าห้องฉุกเฉินบ่อย ๆ เพราะไม่รู้มาก่อนว่าพ่อมีอาการข้างในอย่างไรบ้าง จะรู้ก็ตอนที่เป็นมากแล้ว และต้องรักษาอย่างรีบด่วน ภาวะแบบนี้ทำให้เราต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเมื่อ
  • ที่โรงพยาบาล การรักษาแต่ละโรคของพ่อไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อสื่อสารกับหมอไม่ค่อยได้ และไม่ค่อยให้ความร่วมมือ การผ่าตัดบางเรื่องที่คนปกติอาจไม่ถือว่ายากลำบากเกินไป เช่น การผ่าต้อกระจก แต่สำหรับพ่อแล้ว เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะพ่อไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้หมอทำ ต้องวางยาสลบสถานเดียว บางครั้งเจอหมอที่ไม่เข้าใจ คิดว่าจะสามารถตัดไหมได้เหมือนคนทั่วไป แต่พอทำจริงพ่อจะดิ้นขัดขืน จนเสี่ยงจะตาบอดได้ทีเดียว สำหรับพ่อต้องใช้ไหมละลายเท่านั้น การรักษาพ่อจึงมักต้องการหมอที่มีประสบการณ์สูง และมักต้องใช้อุปกรณ์พิเศษเสมอ ๆ
  • การดูแลพ่อที่บ้านหลังจากออกจากโรงพยาบาลในแต่ละโรคก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อไม่มีการควบคุมตัวเองใด ๆ ทั้งสิ้น ผ่าตัดตาก็จะขยี้ตา จนเราต้องผลัดเวรกันเฝ้าพ่อทั้งคืน ตอนเป็นโรคผิวหนัง เวลาคันก็จะเกาจนแผลถลอกเลือดไหล เราต้องคอยจับตาไม่ให้คลาดสายตาอยู่ตลอด

ทั้งหมดนี้ ทำให้การดูแลพ่อเป็นงานที่กินเวลาและอาศัยความอดทนสูง ต้องใจเย็นและมีมุขมาล่ออยู่ตลอด ต้องรู้จังหวะจะโคนที่จะไม่ทำให้พ่อฉุนเฉียว ต้องคอยจับตาดูจนคนที่ดูแลจะเหลือเวลาไปทำอย่างอื่นน้อยมาก แม่จึงไม่สามารถเปิดร้านค้าได้อย่างเดิม และช่วงหลังลูกที่มาช่วยแบ่งเบาภาระก็แทบไม่เป็นอันทำงานอาชีพเหมือนกัน การจะตั้งสมาธิให้ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ยังไม่นับเรื่องเจ็บป่วยเพราะขาดการพักผ่อนหรือลืมดูแลตัวเองอีก

ที่เขียนอย่างละเอียดขนาดนี้ ไม่ใช่จะบ่นหรือโอดครวญนะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพเป็นกรณีศึกษา ว่าความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุมันใหญ่หลวงเพียงไหนถ้าคุณขับรถโดยประมาทในสภาพมึนเมา พ่อผมเป็น family man เหล้ายาไม่เคยแตะ แต่ต้องมารับผลของความประมาทอันเกิดจากการเมาแล้วขับของคนอื่น ผลกระทบไม่ใช่เกิดกับเหยื่อเพียงเท่านั้น ยังกระทบไปถึงครอบครัวของเหยื่ออย่างถาวรด้วย

การฟังข่าวอุบัติเหตุแต่ละครั้งจึงทำให้ผมเกิดอารมณ์ร่วมกับผู้เสียหายเป็นธรรมดา

กรณีพ่อผมเป็นเพียงกรณีหนึ่ง แต่ถ้าพิจารณากรณีอุบัติเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมกันแล้วจะเห็นว่า:

  • เมาแล้วขับทำให้เพิ่มภาวะโลกร้อน (การพยาบาลผู้ป่วยเป็นเรื่องสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก)
  • เมาแล้วขับทำลายเศรษฐกิจของประเทศ (ประเทศชาติเสียกำลังคนไปหลายคน ไม่ใช่แค่เหยื่อเท่านั้น แต่รวมถึงคนในครอบครัวของเหยื่อ ในระยะยาว ด้วย)
  • เมาแล้วขับทำให้เกิดปัญหาสังคม (ครอบครัวเหยื่อขาดเสาหลัก การดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความเครียดสะสม บางบ้านอาจเกิดปัญหาครอบครัวต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ)

ผมขอพูดถึงผลกระทบที่เกิดกับคนอื่นและส่วนรวมก็พอ เพราะไม่คิดว่าคนที่ดื่มเขาจะฟังเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพของตัวเอง ไม่งั้นเขาคงงดดื่มไปแล้ว แต่ถ้าดื่มแล้วจะขับรถ ก็ขอให้นึกถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่บ้างเถิดนะครับ